Ms.organics
โทร 092-279-8035
  • en
  • th

มาทำความรู้จักชาที่คนนิยมดื่ม


มาทำความรู้จักชาที่คนนิยมดื่ม

 

“ชา” เป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่มีมาหลายพันปี ไม่ว่าใครก็ต้องเคยสัมผัสถึงความหอม ความอร่อยของชาประเภทต่าง ๆ ด้วยสรรพคุณที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงทำให้ชากลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั้งโลก แต่คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ลิ้มลองชาที่เราไม่เคยดื่ม ถึงแม้ว่าชาจะเป็นเครื่องดื่มที่พบได้จากทั่วทุกมุมโลก แต่ชาที่นิยมดื่มของแต่ละประเทศนั้นแตกต่างกัน ทั้งจากวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ กลุ่มคนที่หลากหลาย เช่น ชาที่คนจีนและคนญี่ปุ่นนิยมดื่มจะเป็นชาที่พิถีพิถันในการชงมาก ในขณะที่ชาที่คนอังกฤษนิยมดื่มจะเป็นชาที่ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาดื่มมากกว่าวิธีการชง เป็นต้น

 

วันนี้ Ms.Organics จะพาทุกคนไปรู้จักกับชาที่คนนิยมดื่มจากทั่วทุกมุมโลก จะมีชาอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกันเลย!

 


ชาที่นิยมดื่มจากเพื่อนบ้านรอบโลก มีอะไรบ้างนะ?

ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องดื่มสากลที่นิยมดื่มกันทั่วโลก แต่ชายอดนิยมของแต่ละพื้นที่ก็จะมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งรูปร่าง รสชาติ กลิ่น ตลอดจนส่วนผสม โดยชาที่นิยมดื่มของประเทศอื่น ๆ ที่เราพูดถึงวันนี้มีความโดดเด่นในแบบฉบับของตนเองมาก เพราะมันไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่มันคือสิ่งที่สะท้อนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของพวกเขา

 

“ชาเขียวมัทฉะ” ชายอดนิยมจากญี่ปุ่น

ชาเขียวมัทฉะถือเป็นชาที่คนญี่ปุ่นนิยมดื่มกันมากที่สุด เป็นชาที่มีชื่อเสียงมาก เชื่อว่าคนไทยหลายคนน่าจะรู้จักและคุ้นเคยกับชาเขียวมัทฉะนี้ ด้วยสรรพคุณที่ดีของมัทฉะ จึงทำให้คนนิยมดื่มกันมาก ทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ทั้งช่วยปรับอารมณ์ให้ผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังช่วยปรับความสมดุลในร่างกาย ทำให้ร่างกายดีท็อกซ์และยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย

 

“ชาดาร์จีลิง” ชาสุดพิเศษจากเทือกเขาหิมาลัย

ชาดาร์จีลิ่งเป็นชาของอินเดียที่มีชื่อเสียงมาก ปลูกในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ได้รับการขนานนามว่าเป็นแชมเปญแห่งชา ด้วยความที่ปลูกแถวภูเขาสูง ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างวันจึงสูงมาก กลางวันอบอุ่น กลางคืนหนาวจัด ชาดาร์จีลิ่งจึงมีรสชาติแตกต่างจากชาในพื้นที่อื่น เป็นชาที่มีกลิ่นและรสชาติที่เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยต้านมะเร็ง และช่วยให้ระบบประสาทตื่นตัวอีกด้วย

 

“ชาเนย” ชาแปลกใหม่ที่ไม่เหมือนใครจากทิเบต

จากชื่อก็พอจะเดากันได้ไม่ยากว่าเป็นชาที่ใส่เนย เป็นชาที่นิยมดื่มกันมากในประเทศทิเบต ตามธรรมเนียมของประเทศทิเบตนั้นจะไม่ใช้เนยที่ได้มาจากวัว แต่จะใช้เนยที่ได้จากสัตว์พื้นบ้านอย่าง “Yak” หรือตัวจามรี ชาทิเบตจะใส่นม เนย และเกลือ ทำให้มีกลิ่นหอม มีรสชาติหวานปนขมของรสชา ลักษณะเป็นครีม ๆ มัน ๆ ต่างจากชาประเภทอื่น สาเหตุที่ต้องใส่เนยในชาเพราะประเทศทิเบตมีอากาศหนาวเย็น การดื่มชาร้อน ๆ ที่เต็มไปด้วยไขมันจะช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณที่ส่งผลดีต่อหัวใจ ช่วยบรรเทาอาการท้องผูก และลดกรดในกระเพาะอาหาร

 

“ชามินต์” ชาจากโมร็อคโคอันเป็นเอกลักษณ์

ชามินต์มีที่มาจากการที่ประเทศโมร็อคโคนำชามาประยุกต์จนเกิดการดื่มชาแบบใหม่และมีวัฒนธรรมชาของตัวเอง นั่นคือ “Maghrabi Mint Tea” หรือ “Moroccan tea” ความพิเศษอยู่ตรงที่นำชาธรรมดา ๆ มาใส่ใบสเปียร์มินต์ ในบางครั้งก็นำใบเปปเปอร์มินต์ลงไปผสมจนกลายเป็น Doublemint Tea ทำให้ชามินต์ของโมร็อคโคมีกลิ่นหอมสดชื่นจากใบมินต์และมีรสชาติขมผสมหวานแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร มีสรรพคุณช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย นอนหลับง่ายขึ้น ช่วยลดอาการอักเสบและช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

 

“ชานมไข่มุก” ชาฮิตในไทย แต่รู้ไหมมาจากไต้หวัน

ชานมไข่มุกมีต้นกำเนิดมาจากประเทศเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยคุณภาพอย่าง “ไต้หวัน” ไอเดียชานมไข่มุกนี้เกิดมาจากการอยากสร้างความแปลกใหม่ในการทานชา จึงคิดค้นนำสาคูต้มน้ำตาลใส่ลงไปดื่มพร้อมชา ด้วยความน่าสนใจและรสชาติที่เข้ากันของชานมไข่มุก จึงส่งผลให้เครื่องดื่มนี้โด่งดังมาก กลายเป็นชายอดนิยมไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเช่นกัน

 

รู้หรือไม่? ชาอะไรที่นิยมดื่มกันในประเทศไทย

หลังจากได้รู้จักชายอดนิยมอันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ในไทยเองก็มีชาที่นิยมดื่มเช่นกัน ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอม มีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายมาก จนปัจจุบันถูกนำมาแปรรูปให้ออกมาในรูปแบบชาเพื่อสุขภาพ ไม่ว่าจะนำไปผสมกับดอกไม้ ต้นไม้ หรือสมุนไพรชนิดอื่น ๆ จนกลายมาเป็นชาสมุนไพรที่มีเอกลักษณ์ที่คนไทยนิยมดื่มกันมาก นอกจากชาสมุนไพรจะมีกลิ่นหอมและรสชาติดีแล้ว ชาสมุนไพรยังมีสรรพคุณที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย

 

ชาสมุนไพรใบเตย

ปกติแล้วเราจะเห็นใบเตยเป็นส่วนประกอบของขนม แต่ในปัจจุบันก็พบใบเตยในรูปแบบของชาสมุนไพรเช่นกัน ชาสมุนไพรใบเตยจะให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ และให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย ใบเตยมีสรรพคุณหลายอย่าง เช่น ช่วยบำรุงประสาทและบำรุงหัวใจ ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิตได้ เป็นต้น

 

ชาสมุนไพรใบบัวบก

ใบบัวบกเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน มีกลิ่นหอม มีรสขมเล็กน้อย เรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า “ช้ำใน กินใบบัวบก” แต่จริง ๆ แล้วใบบัวบกมีสรรพคุณทางยามากกว่าที่คิด ทั้งช่วยแก้อาการช้ำใน ลดอาการอักเสบ ช่วยบำรุงประสาทและสมอง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย ช่วยลดความเครียดได้

 

ชาสมุนไพรดอกเก๊กฮวย

ชาสมุนไพรดอกเก๊กฮวยมีลักษณะสีเหลืองทอง ความพิเศษของดอกเก๊กฮวยคือเป็นสมุนไพรที่ไม่มีคาเฟอีน จึงเป็นชาที่เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น ช่วยแก้อาการร้อนใน แก้ปวดศีรษะ มีฤทธิ์ระงับการอักเสบ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนหลับสบาย

 

ชาสมุนไพรดอกคำฝอย

ดอกคำฝอยถือเป็นดอกไม้สมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณมาก เมื่อนำมาทำชาจะมีสีเหลืองทอง กลิ่นหอมละมุน กลมกล่อม ดื่มง่าย มีประโยชน์เด่นในเรื่องช่วยลดไขมัน และลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้ระบบเลือดภายในร่างกายไหลเวียนได้ดี ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้หัวใจแข็งแรงมา่กยิ่งขึ้น

 

ชาสมุนไพรใบหม่อน

ใบหม่อนเป็นสมุนไพรหนึ่งที่คนไทยนิยมนำมาบริโภคเพื่อสุขภาพ มีรสจืดเย็น เป็นรสชาติเฉพาะตัว ไม่ฝาดและไม่ขม มีสารคาเฟอีนเพียงเล็กน้อย ใช้ต้มกับน้ำดื่มสามารถช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ ตัวร้อน รวมไปถึงเป็นยาระงับประสาท มีสรรพคุณช่วยป้องกันการดูดซึมของน้ำตาลในเลือด ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยลดภาวะความเครียด ช่วยกระตุ้นเซลล์ประสาท

 

ชา 5 ประเภทที่กล่าวไปในข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชาที่นิยมดื่มในประเทศไทยเท่านั้น ยังมีชาเพื่อสุขภาพอีกมากมายที่มีประโยชน์เช่นกัน เช่น ชาขิง ชาหมัก ชารางจืด ฯลฯ นอกจากกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกันตามลักษณะเด่นของสมุนไพรแต่ละชนิดแล้ว สรรพคุณของชาแต่ละชนิดก็แตกต่างกันไปเช่นกัน การดื่มชาไม่ได้เป็นเพียงการดื่มเพื่อดับกระหายเท่านั้น แต่ชาที่ทำจากสมุนไพรต่าง ๆ มีสรรพคุณช่วยบำรุงรักษาร่างกายได้เป็นอย่างดี ถ้าเราเลือกดื่มชาให้ตรงกับความต้องการของร่างกายตัวเอง ชาสมุนไพรนี้ก็สามารถบำรุงรักษาร่างกายได้ไม่แพ้การดูแลตัวเองในรูปแบบอื่นกันเลยทีเดียว

 

ดื่มชาอย่างฉลาด : ดื่มชาเวลาไหนถึงจะดีต่อสุขภาพ

ดื่มชาหลังชงเสร็จทันที

ควรดื่มชาหลังชงทันที ไม่ควรปล่อยไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง เพราะชาที่เพิ่งชงเสร็จจะอุดมไปด้วยสารสำคัญมากมาย เช่น คาเฟอีน, EGCG ซึ่งเป็นสารสำคัญมีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เพื่มการเผาผลาญพลังงานและไขมัน ส่งผลดีต่อการควบคุมน้ำหนักในร่างกาย หากปล่อยชาทิ้งไว้นาน ๆ สารสำคัญเหล่านี้จะลดลง

 

ดื่มชาหลังรับประทานอาหาร 2 - 3 ชั่วโมง

การดื่มชาเข้ม ๆ หลังรับประทานอาหาร 2 - 3 ชั่วโมง จะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยหลั่งออกมา ช่วยย่อยวิตามินได้ดีขึ้น แต่หากเป็นคนประเภทที่ดื่มชาเป็นประจำอยู่แล้ว หรือคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ ควรจิบชาอ่อน ๆ แทนชาเข้ม ๆ เพราะการดื่มชาเข้ม ๆ จะยิ่งทำให้กรดในกระเพาะอาหารหลั่งมากเกินไป และส่งผลให้กระเพาะอาหารระคายเคืองได้

 

ดื่มชาก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที

มีงานวิจัยทดลองกล่าวว่าหากชงชาเขียวเพียว ๆ 1 - 2 ช้อนชาในน้ำร้อน 200 มิลลิลิตร แล้วดื่มก่อนไปออกกำลังกายประมาณ 30 - 45 นาทีก่อนไปออกกำลังกาย จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สามารถออกกำลังกายได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น และเพิ่มการเผาผลาญไขมันระหว่างออกกำลังกายได้ถึง 2 เท่า

 

ดื่มชาก่อนนอนช่วยให้หลับสบายมากยิ่งขึ้น

การดื่มชาอุ่น ๆ ก่อนนอนช่วยให้หลับสบายมากยิ่งขึ้น เพราะความอุ่นของชาจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อร่างกายได้รับความอบอุ่น จะเกิดการสั่งการไปสั่งสมองว่าถึงเวลาพักผ่อนของร่างกาย ทำให้เรานอนหลับสบายนั่นเอง ชาที่เหมาะสมกับการดื่มก่อนนอน เช่น ชาคาโมมายล์, ชาเปปเปอร์มินต์, ชาอู่หลง, ชาหมักที่มีสาร L-Theanine เป็นต้น

 

ชงชาให้มีคุณภาพในแบบฉบับของตัวเองได้ไม่ยาก

เคยสงสัยไหมว่าทำไมชาที่คนนิยมดื่มถึงมีรสชาติที่อร่อยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลายคนอาจจะคิดว่า ชามันก็คือคือชา ชงอย่างไรรสชาติมันก็เป็นชาแบบนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว รสชาติของชาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งเวลา อุณหภูมิน้ำในการชง ปริมาณในการชง ฯลฯ สาเหตุทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลให้รสชาติของชาเปลี่ยน เราจึงต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการชงชาแต่ละประเภท ในวันนี้ Ms.organics มีเทคนิคดี ๆ ในการชงชามาฝากทุกคน หากทำตามอย่างถูกต้อง คุณก็จะได้ดื่มชาที่อร่อยและมีคุณภาพอย่างแน่นอน เทคนิคที่ว่าจะมีอะไรบ้างนั้น มาดูกันเลย

 

หลักเบื้องต้นในการชงชา

เลือกใบชาที่มีคุณภาพ

เลือกชาที่แห้งสนิท สีเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน ใบชาหลังชงดื่มต้องมีสภาพสมบูรณ์ ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป

 

ใช้น้ำอย่างถูกต้อง

น้ำที่ใช้ชงชาต้องเป็นน้ำที่สด ใหม่ สะอาด ไม่มีกลิ่นอื่นเจือปน และไม่ใช้น้ำที่ผ่านการต้มมาแล้วหลายครั้ง เพราะน้ำจะเหลือออกซิเจนน้อย ส่งผลให้ชามีรสชาติจืดชืด ขาดความนุ่ม ไม่ควรใช้น้ำแร่ หรือน้ำประปาดื่มได้มาชงชา

 

อุณหภูมิของน้ำต้องเหมาะสม

อุณหภูมิของน้ำที่ต่างกัน จะทำให้ชามีรสชาติที่ต่างกัน โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการชงชาคือ 70 - 100 องศาเซลเซียส

 

อุณหภูมิของภาชนะก็สำคัญไม่แพ้กัน

ก่อนชงชาเราควรใช้น้ำร้อนลวกภาชนะที่ใช้ในการชงชา ทั้งกาและถ้วยน้ำชา เพราะจะช่วยลดความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างน้ำชาและภาชนะ ทำให้ชาที่ชงสามารถเก็บความร้อนได้นานมากยิ่งขึ้น

 

ใช้ระยะเวลาในการชงให้ถูกหลัก

ระยะเวลาที่ใช้ชงชาจะเชื่อมโยงกับความอ่อนแก่ของชา ซึ่งแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่ระยะเวลามาตรฐานที่ทำให้รสชาติชาพอดี ไม่อ่อนและไม่เข้มจนเกินไปได้แก่ 40 - 60 วินาที (ชงชาน้ำแรก) หากชงชาน้ำต่อ ๆ ไป ให้เพิ่มขึ้นอีก 10 - 15 นาที ทั้งนี้ แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล

 

อุปกรณ์ชงชาต้องเป๊ะ

สิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญแต่หลายคนมองข้ามคือ กาน้ำชา อาจจะคิดว่าแบบไหนก็คล้าย ๆ กัน แต่จริง ๆ แล้ว กาน้ำที่ช่วยเพิ่มรสชาติได้มากที่สุดคือกาดินเผา หากสังเกตดี ๆ ชาที่คนนิยมดื่มบางที่ก็ใช้กาดินเผาในการชงชา เพราะกาดินเผาสามารถเก็บความร้อนและรักษากลิ่นชาได้ดีกว่ากาประเภทอื่น ทั้งคุณภาพดี ทนความร้อน และไม่แตกหักง่าย

 

ชาเป็นเครื่องดื่มที่เต็มไปด้วยศาสตร์และศิลป์ เป็นเครื่องดื่มที่มีความละเอียดอ่อน สะท้อนถึงวัฒนธรรม วิถีชีวิตในพื้นที่ต่าง ๆ ได้อย่างดี มากไปกว่านั้น การจะรังสรรค์ชาดี ๆ หรือการจะดื่มชาชนิดหนึ่ง ต้องมีความพิถีพิถันมาก ต้องใส่ใจและใช้ความละเอียดมาก ถือเป็นเครื่องดื่มหนึ่งที่มีสเน่ห์เฉพาะตัวสูง ทำให้ชากลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในระดับโลกชนิดที่ว่าเป็นรองแค่น้ำเปล่า หากคุณได้ลองศึกษาเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชาอย่างลึกซึ้ง จะพบว่าชามีความมหัศจรรย์ที่รอให้คุณได้สัมผัสอีกมากมาย

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

  • https://food.trueid.net/detail/zwzEdQGQbnR6
  • https://petmaya.com/21-tea-around-the-world-wow
  • http://www.ohlor.com/วิธีชงชาให้อร่อย/
 

#GOODHEALTHBYCHOICE